สำนักแนวคิดทฤษฎีองค์การแบบคลาสสิคได้ในปี ค.ศ.1930 และยังคงมีอิทธิพลอย่างสูงในปัจจุบัน (Merkle,1980) ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทฤษฎีองค์การแบบคลาสสิคได้แพร่หลายและจนเป็นที่เข้าใจ อย่างไรก็ตามในข้อสมมติฐานและทัศนะที่เกี่ยวข้องกลายเป็นรากฐานมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในปี ค.ศ.1700 และวิชาชีพทางด้านวิศวกรรมเครื่องกล, วิศวกรรมอุตสาหการและเศรษฐศาสตร์อย่างไม่เสื่อมคลาย นักวิชาชีพเหล่านี้ได้ขยายแนวคิด, จำกัดความใหม่ และอธิบายให้เกิดความชัดเจน ซึ่งข้อคิดเห็น ดังกล่าวได้แก่
1. องค์การกำเนิดขึ้นมาเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต และเป้าหมายทางเศรษฐกิจ
2. มีวิธีการที่ดีที่สุดเพียงวิธีเดียวในการจัดกลุ่มเพื่อการผลิต, และวิธีการที่สามารถค้นพบได้จากการสืบค้นที่เป็นวิทยาศาสตร์ และเป็นระบบ
3. การผลิตเป็นเป้าหมายสูงสุดโดยเน้นการจำแนกงานเฉพาะด้าน และการแบ่งงานกันทำ
4. บุคลากรและองค์การปฏิบัติงานตามหลักการทางเศรษฐกิจอย่างสมเหตุสมผล (rational)
วิัวัฒนาการของทฤษฎีใด ๆ ก็ตามจะต้องมีทัศนะในเชิงบริบท ความเชื่อเกี่ยวกับนักทฤษฎีการจัดการในยุคต้น ๆเกี่ยวกับองค์การควรจะดำเนินการที่มีผลสะท้อนโดยตรงเกี่ยวกับค่านิยมของสังคมเกี่ยวกับยุคนั้น ๆ และเวลานั้นยังมีการปฏิบัติงานที่หยาบ เพิ่งจะมาปฏิบัติได้ดีในยุคศตวรรษที่ 21 ก่อนที่คนงานอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาและยุโรปเริ่มต้นที่สิทธิของพลเมืององค์การมีจำกัด คนงานถูกมองในลักษณะไม่ใช่ปัจเจกชน แต่ยังเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนมือได้ในเครื่องจักรอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเครื่องจักรเท่านั้น เมื่อเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำการผลิตเหล็กกล้าได้
จากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงาน และระบบโรงงานสมัยใหม่เกิดจากแนวคิดในการจัดองค์การเศรษฐกิจ และองค์การเพื่อการผลิต อุปกรณ์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานค่อนข้างแพง คนงานฝ่ายผลิตไม่สามารถสั่งซื้อและใช้อุปกรณ์ด้วยตัวของเขาเองในขณะที่เขามีเพียงแต่เครื่องมือประจำตัว โดยไม่ลืมว่าขั้นตอนสำหรับการทำงานที่น่าเบื่อหน่าย คือการแบกถุง (get the sack) ซึ่งมาจากยุคต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อคนงานยกเลิกวิธีการทำงานแบบเก่า ๆ ซึ่งมีการแบกถุงพร้อมเครื่องมือ คนงานไม่มีเครื่องมือของตนเองและมักขาดทักษะพิเศษที่ต้องทำงานเข้ากับงานที่ใช้อุปกรณ์ของโรงงาน อุปกรณ์ที่มีราคาแพงจะต้องผลิตให้เกิดผลผลิตให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
การประดิษฐ์เกี่ยวกับระบบโรงงานแสดงให้ผู้บริหารองค์การที่ไม่ได้เตรียมการรองรับกับปัญหาใหม่ ผู้บริหารต้องเตรียมจมกับเงินลงทุน วางแผนและจัดองค์การเพื่อให้การผลิตขนาดใหญ่เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือได้, รวมทั้งกิจกรรมการประสานงานและการควบคุมของจำนวนพนักงานขนาดใหญ่ ค่าใช้จ่ายที่แน่นอน (สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตในอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ๆ) และสนับสนุนกำลังแรงงานให้มีการฝึกอบรมและสร้างแรงจูงใจ
ภายใต้ระบบโรงงาน, ความสำเร็จขององค์การเป็นผลที่เกิดขึ้นจากระบบการผลิตที่มีการเตรียมการมาเป็นอย่างดีที่รักษาเครื่องจักรที่ทำงานมาก และค่าใช้จ่ายในการดูแลงานด้านวิศวกรรมเครื่องกลและวิศวกรรมอุตสาหกรรม และเครื่องจักรเหล่านั้นเป็นกุญแจสำคัญในการผลิต โครงสร้างองค์การ และระบบการผลิตจำเป็นต้องได้รับผลประโยชน์อย่างดีที่สุดในการลงทุนเครื่องจักร องค์การตามความคิดนี้จึงควรทำงานเหมือนเครื่องจักร โดยการใช้คน,ทุน, และเครื่องจักรในฐานะที่เป็นชิ้นส่วน ทำให้วิศวกรรมอุตสาหกรรมและเครื่องกลทำการออกแบบเครื่องจักรที่ดีที่สุดเพื่อทำการผลิตในอุตสาหกรรมในการเพิ่มผลผลิตแก่โรงงาน การผลิตตามแนวคิดวิศวกรรมอุตสาหกรรมและเครื่องกลเป็นความคิดในรูปแบบคิดที่ครอบงำจาก "การทำงานให้ดีที่สุด" (the best way)ในการรวมกลุ่มเพื่อการผลิต ดังนั้นทฤษฎีแรกขององค์การคือสิ่งที่เกี่ยวข้องในขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับการสรีรวิทยา หรือโครงสร้างเกี่ยวกับองค์การที่เป็นทางการ สิ่งนี้เป็นสิ่งแวดล้อม หรือสภาพแวดล้อม, วิธีการคิด และอิทธิพลมาจากความคิดในทฤษฎีองค์การแบบคลาสสิค
การรวมศูนย์เครื่องมืออุปกรณ์ และแรงงานในโรงงาน, การแบ่งงานตามความถนัดเฉพาะด้าน, การจัดการความถนัดเฉพาะด้าน และการคืนทุนในอุปกรณ์โรงงานซึ่งเกี่ยวข้องกับนักเศรษฐศาสตร์ชาวสก๊อตที่ชื่อ อาดัม สมิธจากผลงานเรื่อง "An Inquiry in the Nature and Causes of the Wealth of Nations" (1776) นักประวัติศาสตร์ที่ชื่ออาร์โนลด์ ทอยน์บี (1956)ได้นิยามจากความคิดของอาดัม สมิธ (1723-1790) และเจมส์ วัตต์ (1736-1819) ในฐานะที่บุคคลทั้งสองเป็นผู้รับผิดชอบในการผลักดันโลกไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรม (industrialization) และเจมส์ วัตต์เป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำด้วย
อาดัม สมิธ เป็นผู้ได้รับฉายาว่าเป็นบิดาแห่งหลักวิชาเศรษฐศาสตร์ ได้ตั้งมูลนิธิทางปัญญาชนเพื่อทุนนิยมแบบเสรีนิยม ความมั่งคั่งประชาชาติ (the wealth of nations) ได้พูดเกี่ยวกับการแบ่งงานกันทำ (Division of Labour) ในการอธิบายเกี่ยวกับองค์การที่เป็นโรงงานหมุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เหตุผลอะไร? เพราะว่าการจำแนกความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในกลไกการตลาดซึ่งเป็นเสาหลักของ "มือที่มองไม่เห็น"ที่เป็นรางวัลสูงสุดควรดำเนินการให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดในเวทีตลาดที่มีการแข่งขัน การผลิตหมุดแบบดั้งเดิมทำการผลิตได้ 12 อันต่อวัน เมื่อการรวมกลุ่มในโรงงานด้วยคนงานแต่ละคนจะกระทำการดำเนินงานที่มีข้อจำกัด เขาควรผลิตได้ 100,000 อันต่อวันจากการแบ่งงานกันทำที่เป็นการตีพิมพ์ขึ้นมาใหม่ในที่นี้เพราะว่า เป็นการมาถึงรุ่งอรุณของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้มีชือเสียงมากที่สุด และข้อความที่ทรงอิทธิพลเกี่ยวกับความสมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจของระบบโรงงาน สมิธได้ปฏิวัติความคิดเกี่ยวกับวิชาเศรษฐศาสตร์ และองค์การซึ่งได้นิยามในเชิงปฏิบัติการในปี ค.ศ.1776 ซึ่งเป็นปีที่มีการตีพิมพ์ข้อเขียนความมั่งคั่งประชาชาติในขณะเดียวกันก็เป็นจุดเริ่มต้นของทฤษฎีองค์การที่เป็นศาสตร์เชิงประยุกต์ และเป็นหลักการเชิงวิชาการ นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 1776 ก็เป็นปีที่ดีสำหรับเหตุการณ์อื่น ๆ ด้วย
1. องค์การกำเนิดขึ้นมาเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต และเป้าหมายทางเศรษฐกิจ
2. มีวิธีการที่ดีที่สุดเพียงวิธีเดียวในการจัดกลุ่มเพื่อการผลิต, และวิธีการที่สามารถค้นพบได้จากการสืบค้นที่เป็นวิทยาศาสตร์ และเป็นระบบ
3. การผลิตเป็นเป้าหมายสูงสุดโดยเน้นการจำแนกงานเฉพาะด้าน และการแบ่งงานกันทำ
4. บุคลากรและองค์การปฏิบัติงานตามหลักการทางเศรษฐกิจอย่างสมเหตุสมผล (rational)
วิัวัฒนาการของทฤษฎีใด ๆ ก็ตามจะต้องมีทัศนะในเชิงบริบท ความเชื่อเกี่ยวกับนักทฤษฎีการจัดการในยุคต้น ๆเกี่ยวกับองค์การควรจะดำเนินการที่มีผลสะท้อนโดยตรงเกี่ยวกับค่านิยมของสังคมเกี่ยวกับยุคนั้น ๆ และเวลานั้นยังมีการปฏิบัติงานที่หยาบ เพิ่งจะมาปฏิบัติได้ดีในยุคศตวรรษที่ 21 ก่อนที่คนงานอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาและยุโรปเริ่มต้นที่สิทธิของพลเมืององค์การมีจำกัด คนงานถูกมองในลักษณะไม่ใช่ปัจเจกชน แต่ยังเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนมือได้ในเครื่องจักรอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเครื่องจักรเท่านั้น เมื่อเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำการผลิตเหล็กกล้าได้
จากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงาน และระบบโรงงานสมัยใหม่เกิดจากแนวคิดในการจัดองค์การเศรษฐกิจ และองค์การเพื่อการผลิต อุปกรณ์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานค่อนข้างแพง คนงานฝ่ายผลิตไม่สามารถสั่งซื้อและใช้อุปกรณ์ด้วยตัวของเขาเองในขณะที่เขามีเพียงแต่เครื่องมือประจำตัว โดยไม่ลืมว่าขั้นตอนสำหรับการทำงานที่น่าเบื่อหน่าย คือการแบกถุง (get the sack) ซึ่งมาจากยุคต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อคนงานยกเลิกวิธีการทำงานแบบเก่า ๆ ซึ่งมีการแบกถุงพร้อมเครื่องมือ คนงานไม่มีเครื่องมือของตนเองและมักขาดทักษะพิเศษที่ต้องทำงานเข้ากับงานที่ใช้อุปกรณ์ของโรงงาน อุปกรณ์ที่มีราคาแพงจะต้องผลิตให้เกิดผลผลิตให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
การประดิษฐ์เกี่ยวกับระบบโรงงานแสดงให้ผู้บริหารองค์การที่ไม่ได้เตรียมการรองรับกับปัญหาใหม่ ผู้บริหารต้องเตรียมจมกับเงินลงทุน วางแผนและจัดองค์การเพื่อให้การผลิตขนาดใหญ่เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือได้, รวมทั้งกิจกรรมการประสานงานและการควบคุมของจำนวนพนักงานขนาดใหญ่ ค่าใช้จ่ายที่แน่นอน (สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตในอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ๆ) และสนับสนุนกำลังแรงงานให้มีการฝึกอบรมและสร้างแรงจูงใจ
ภายใต้ระบบโรงงาน, ความสำเร็จขององค์การเป็นผลที่เกิดขึ้นจากระบบการผลิตที่มีการเตรียมการมาเป็นอย่างดีที่รักษาเครื่องจักรที่ทำงานมาก และค่าใช้จ่ายในการดูแลงานด้านวิศวกรรมเครื่องกลและวิศวกรรมอุตสาหกรรม และเครื่องจักรเหล่านั้นเป็นกุญแจสำคัญในการผลิต โครงสร้างองค์การ และระบบการผลิตจำเป็นต้องได้รับผลประโยชน์อย่างดีที่สุดในการลงทุนเครื่องจักร องค์การตามความคิดนี้จึงควรทำงานเหมือนเครื่องจักร โดยการใช้คน,ทุน, และเครื่องจักรในฐานะที่เป็นชิ้นส่วน ทำให้วิศวกรรมอุตสาหกรรมและเครื่องกลทำการออกแบบเครื่องจักรที่ดีที่สุดเพื่อทำการผลิตในอุตสาหกรรมในการเพิ่มผลผลิตแก่โรงงาน การผลิตตามแนวคิดวิศวกรรมอุตสาหกรรมและเครื่องกลเป็นความคิดในรูปแบบคิดที่ครอบงำจาก "การทำงานให้ดีที่สุด" (the best way)ในการรวมกลุ่มเพื่อการผลิต ดังนั้นทฤษฎีแรกขององค์การคือสิ่งที่เกี่ยวข้องในขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับการสรีรวิทยา หรือโครงสร้างเกี่ยวกับองค์การที่เป็นทางการ สิ่งนี้เป็นสิ่งแวดล้อม หรือสภาพแวดล้อม, วิธีการคิด และอิทธิพลมาจากความคิดในทฤษฎีองค์การแบบคลาสสิค
การรวมศูนย์เครื่องมืออุปกรณ์ และแรงงานในโรงงาน, การแบ่งงานตามความถนัดเฉพาะด้าน, การจัดการความถนัดเฉพาะด้าน และการคืนทุนในอุปกรณ์โรงงานซึ่งเกี่ยวข้องกับนักเศรษฐศาสตร์ชาวสก๊อตที่ชื่อ อาดัม สมิธจากผลงานเรื่อง "An Inquiry in the Nature and Causes of the Wealth of Nations" (1776) นักประวัติศาสตร์ที่ชื่ออาร์โนลด์ ทอยน์บี (1956)ได้นิยามจากความคิดของอาดัม สมิธ (1723-1790) และเจมส์ วัตต์ (1736-1819) ในฐานะที่บุคคลทั้งสองเป็นผู้รับผิดชอบในการผลักดันโลกไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรม (industrialization) และเจมส์ วัตต์เป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำด้วย
อาดัม สมิธ เป็นผู้ได้รับฉายาว่าเป็นบิดาแห่งหลักวิชาเศรษฐศาสตร์ ได้ตั้งมูลนิธิทางปัญญาชนเพื่อทุนนิยมแบบเสรีนิยม ความมั่งคั่งประชาชาติ (the wealth of nations) ได้พูดเกี่ยวกับการแบ่งงานกันทำ (Division of Labour) ในการอธิบายเกี่ยวกับองค์การที่เป็นโรงงานหมุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เหตุผลอะไร? เพราะว่าการจำแนกความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในกลไกการตลาดซึ่งเป็นเสาหลักของ "มือที่มองไม่เห็น"ที่เป็นรางวัลสูงสุดควรดำเนินการให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดในเวทีตลาดที่มีการแข่งขัน การผลิตหมุดแบบดั้งเดิมทำการผลิตได้ 12 อันต่อวัน เมื่อการรวมกลุ่มในโรงงานด้วยคนงานแต่ละคนจะกระทำการดำเนินงานที่มีข้อจำกัด เขาควรผลิตได้ 100,000 อันต่อวันจากการแบ่งงานกันทำที่เป็นการตีพิมพ์ขึ้นมาใหม่ในที่นี้เพราะว่า เป็นการมาถึงรุ่งอรุณของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้มีชือเสียงมากที่สุด และข้อความที่ทรงอิทธิพลเกี่ยวกับความสมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจของระบบโรงงาน สมิธได้ปฏิวัติความคิดเกี่ยวกับวิชาเศรษฐศาสตร์ และองค์การซึ่งได้นิยามในเชิงปฏิบัติการในปี ค.ศ.1776 ซึ่งเป็นปีที่มีการตีพิมพ์ข้อเขียนความมั่งคั่งประชาชาติในขณะเดียวกันก็เป็นจุดเริ่มต้นของทฤษฎีองค์การที่เป็นศาสตร์เชิงประยุกต์ และเป็นหลักการเชิงวิชาการ นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 1776 ก็เป็นปีที่ดีสำหรับเหตุการณ์อื่น ๆ ด้วย